วันศุกร์ที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2551















~ วิธีการถนอมอาหาร ~




วิธีการถนอมอาหารในบางฤดูกาลมีผลผลิตประเภทอาหารมากมาย ทำให้ไม่สามารถรับประทานอาหารสดๆได้หมด แต่เราสามารถเก็บรักษาอาหารนั้นไว้รับประทานต่อไปได้ด้วยวิธีการถนอมอาหาร ซึ่งการเลือกวิธีการถนอมอาหารที่เหมาะสมจะทำให้สามารถเก็บรักษาอาหารไว้ได้นาน และสามารถรับประทานได้ตลอดฤดูกาล โดยที่อาหารไม่บูดเน่าเสียหรือต้องทิ้งโดยเปล่าประโยชน์
การถนอมอาหารโดยตากแห้ง

การถนอมอาหารเป็นวิธีที่ง่ายและประหยัดมากที่สุด ใช้ได้กับอาหารประเภทเนื้อสัตว์ ผักและผลไม้ โดยนำน้ำหรือความชื้นออกจากอาหารให้มากที่สุดเพื่อให้เอนไซม์ในอาหารไม่สามารถทำงานและบัตเตรีไม่สามารถที่เจริญเติบโตได้ในของแห้งสำหรับวิธีการตากแห้งอาจใช้ความร้อนหรือความร้อนจากแหล่งอื่น เช่น ตู้อบ เป็นต้นถ้าใช้แสงแดดควรมีฝาชีหรือตู้ที่เป็นมุ้งลวดป้องกันแมลงและฝุ่นละออง อาหารที่ผ่านวิธีการตากเเห้งแล้ว เช่น เนื้อเค็ม ปลาเค็ม กล้วยตาก เป็นต้น




การดอง
การดองเป็นการถนอมอาหารโดยใช้สารปรุงแต่งให้มีรสเปรี้ยว เค็ม หวาน หรือมีรสผสมทั้งเปรี้ยว เค็ม หวาน อุปกรณ์ที่ใช้ดองควรเป็นพวกเครื่องแก้ว ไม่ควรใช้ภาชนะที่เป็นโลหะ เช่น หม้อ อะลูมีเนียม เป็นต้น เพราะในขณะดองอาจมีกรดเกิดขึ้นซึ่งกรดพวกนี้จะทำปฏิกิริยากับโลหะทำให้เกิดสารพิษในอาหรสำหรับปรุงรสที่ใช้ ได้แก่ เกลือ น้ำตาล น้ำส้มบริสุทธิ์ ส่วนอาหารที่ใช้วิธีดอง เช่น มะม่วงดอง ผักกาดดอง หน่อไม้ดอง เป็นต้น









การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาล

การถนอมอาหารโดยใช้น้ำตาลนิยมใช้กับพวกผลไม้ โดยทั่วไปแล้วผลไม้ที่มีรสเปรี้ยวจะนิยมใส่น้ำตาลมาก การใช้น้ำตาลเพื่อการถนอมอาหารมีหลายวิธี ดังนี้











กล้วยเชื่อม มันเชื่อม


การเชื่อม
ใช้ความเข้มข้นของน้ำตาลแตกต่างกันตามอัตราส่วน ดังนี้

1.น้ำเชื่อมใส ใช้น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 3 ถ้วย
2.น้ำเชื่อมปานกลาง ใช่น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 2 ถ้วย
3.น้ำเชื่อมเข้มข้น ใช้น้ำตาล 1 ถ้วย น้ำ 1ถ้วย
การเชื่อมนิยมใช้กับผลไม้บรรรจุกระป๋อง หรือขวด ที่เรียกว่า ลอยแก้ว เช่น เงาะกระป๋อง ลิ้นจี่กระป๋อง เป็นต้น
ารทำแยม






เป็นการใส่น้ำตาลในเนื้อผลไม้ที่มีน้ำปนอยู่ส่วนมาก แล้วกวนให้เข้ากัน เช่น แยมส้ม แยมสับปะรด เป็นต้น







การกวน

นิยมใช้กับผลไม้ โดยใส่น้ำตาลปริมาณมาก และกวนจนเนื้อผลไม้แห้งสามารถปั้นหรือบรรจุห่อได้ เช่น ส้มโอกวน สับปะรดกวน กล้วยกวน เป็นต้น






การแช่อิ่ม



เป็นการใส่น้ำตาลในปริมาณมาก โดยการแช่ในน้ำเชื่อม และเพิ่มความเข้มข้น ของน้ำเขื่อมจนถึงจุดอิ่มตัว แล้วนำมาทำแห้ง สมัยก่อนนิยมใช้วิธีการถนอมอาหารนี้กับผลไม้ ปัจจุบันนำผักหลายชนิดมาแช่อิ่ม แล้วจัดจำหน่ายจนเป็นที่นิยมในท้องตลาดเช่น ลูกตำลึง ก้านบอระเพ็ด ลูกมะกรูด เป็นต้น



















































วันพุธที่ 20 สิงหาคม พ.ศ. 2551







ในภาวะเร่งรีบ ทำให้เราให้ความสำคัญกับอาหารแต่ละมื้อไม่เท่ากัน โดยเฉพาะอาหารมื้อเช้ามักจะเป็นมื้อที่หลายคนไม่ค่อยให้ความสำคัญ และบางคนก็ไม่ทานอาหารเช้าเลยก็มี

ซึ่งในความเป็นจริงแล้วอาหารมื้อเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมากนะครับ และสำคัญมากที่สุดด้วยเพราะในระหว่างที่เรานอนหลับกว่าจะตื่นขึ้นมา ก็เป็นเวลาหลายชั่วโมงนั่นก็คือร่างกายต้องอดอาหารนานมาก เป็นเวลา 8 - 10 ชั่วโมงเลยทีเดียว ดังนั้นร่างกายของเราจึงต้องการพลังงานอย่างมากครับ ในการที่จะออกไปเผชิญกับการงานหรือการเรียนที่หนักหน่วงในช่วงกลางวัน

ครับ..ร่างกายของเราต้องการพลังงาน...สมองของเราก็ต้องการพลังงานเช่นกัน
ครับ...และพลังงานที่สมองต้องการที่สุดก็คือน้ำตาลกลูโคส น้ำตากลูโคสนี้...เราจะได้จากอาหารจำพวกแป้ง หรือคาร์โบไฮเดรตครับ ดังนั้นอาหารมื้อเช้าของเราควรจะมีอาหารพวกนี้ด้วยครับ..

ดังนั้น..บางคนที่กินโปรตีนอัดเม็ด..หรือซุบไก่สกัด..เป็นอาหารเช้า...แล้วคิดว่าจะสมองดีแล้วละก็..คิดผิดครับ

ส่วนอาหารมื้อเช้าของแต่ละท่าน จะเป็นอะไรนั้น ก็ขึ้นอยู่กับความชอบนะครับแต่ข้อให้มีคุณค่าทางอาหารบ้างและมีกากใยอาหารบ้างเป็นพอ






การที่เราไม่ทานอาหารเช้านั้นย่อมก่อให้เกิดผลเสียอย่างแน่นอนครับ เช่น อาจทำให้เป็นโรคกระเพาะได้ อันนี้เป็นกันบ่อยนะครับ หรือบางที การไม่ได้ทานอาหารเช้าทำให้ร่างกายขาดพลังงาน ทำให้เกิดอาการง่วงนอน สมองไม่แล่น และในคนที่มีโรคประจำตัวเช่นเบาหวาน ก็อาจทำให้เกิดภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ซึ่งเป็นอันตรายมากๆได้

สุดท้ายนี่ก็อยากลืมนะครับว่าการทานอาหารเช้านั้น เป็นประโยชน์อย่างมาก เพราะจะทำให้ร่างกายและสมองของเราสดชื่น เป็นการเตรียมพร้อมเพื่อรับมือกับทุกปัญหาและสถานการณ์ครับ


>(((ความสำคัญของอาหารมื้อเช้า)))<


การไม่กินอาหารเช้า เป็นเหตุพื้นฐานที่ทำให้เกิดการเจ็บป่วยที่เรามองข้ามไป คิดว่าเป็นเรื่องธรรมดาที่เคยปฏิบัติอยู่เป็นประจำไม่เห็นจะเป็นอะไรเลย อาหารมื้อเช้า เป็นอาหารมื้อที่สำคัญที่สุด ที่ร่างกายต้องการสารอาหารในช่วงเวลา 07.00 - 09.00 น. ระหว่างเวลานี้สมองและใบหน้าของคนเราต้องการเลือดและออกซิเจน เป็นอาหารบำรุงส่งไปเลี้ยงสมอง ถ้าไม่กินข้าวเช้า ก็จะไม่มีเลือดมารับออกซิเจน ส่งขึ้นไปเลี้ยงสมอง เพราะสมองต้องการกรดอะมิโนไปบำรุงเซลล์สมอง รวมถึงวิตามินบี 1, บี 6, และบี 12 มื้อเช้าถ้าไม่มีเวลาจริงๆก็ควรกิน สูตร โยเกิร์ต + นมสด + น้ำผึ้ง + มะนาว และกล้วย 1 ลูก


เริ่มต้นมื้อเช้าคุณภาพ


# การกินอาหารเช้าอาจช่วยให้มีพลังความสามารถเพิ่มมากขึ้นในช่วงสายหรือกลางวัน มีสมาธิในการทำงานและแก้ปัญหา มีความสนใจได้ยาวนานกว่า ทั้งยังช่วยลดความหงุดหงิดและเพิ่มความอดทนอดกลั้นได้ดีกว่าด้วย เอาล่ะ เมื่อเราเห็นประโยชน์แล้ว ก็หันมาใส่ใจกับอาหารเช้าได้แล้ว

# วางแผนไว้ล่วงหน้า ปรับปรุงคุณภาพทางโภชนาการของอาหารเช้าให้ประสบความสำเร็จ คือการเตรียมการไว้ล่วงหน้าสักหนึ่งคืน และใช้เวลาเพียงเล็กน้อยในช่วงเช้าเพื่อลงมือจัดอาหารเช้าที่ง่ายและได้ประโยชน์ครบถ้วน ช่วยสร้างความรู้สึกสนุกสนาน การเลือกรับประทานอาหารอย่างฉลาดและมีคุณค่าทางโภชนาการครบถ้วน สำหรับการเริ่มต้นใหม่ จะช่วยทำให้เวลาที่เหลือในวันนั้นมีศักยภาพมากขึ้น

# เลือกอาหารเช้าอย่างง่าย คนส่วนใหญ่มักอ้างเหตุผลของการไม่ทานอาหารเช้าเพราะ “ไม่หิว” หรือ “ไม่มีเวลา” แต่อุปสรรคนั้นแก้ไขได้ง่ายเพียงแค่เลือกเมนูอาหารเช้าที่ปรุงง่าย ๆ ไม่ยุ่งยาก สำหรับคนที่ชินกับการไม่ทานอาหารเช้า เริ่มจากกินนิดๆ หน่อย ๆ ปริมาณน้อย ๆ และตั้งใจทำให้กลายเป็นกิจวัตรประจำวันของคุณให้ได้ก็พอ






วันศุกร์ที่ 15 สิงหาคม พ.ศ. 2551




คุณค่าอาหารจากปลา

ปลานั้น เป็นอาหารที่มีความสำคัญ และมีบทบาทในการดำรงชีวิต ของคนไทยมานาน นับแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน นับว่าคนไทย รู้จักเลือกอาหารจากแหล่งธรรมชาต ิมาบริโภคได้อย่างถูกต้องเหมาะสม ปลานั้น เป็นอาหารที่มีคุณค่ามากมาย มีคุณค่าโภชนาการสูง มีไขมันต่ำหาง่าย ทำอาหารได้อร่อยหลายอย่าง จึงเหมาะสม สำหรับนำมาประกอบเป็นอาหารของคนทุกเพศ ทุกวัย ตั้งแต่ทารกอายุ 4 เดือน ขึ้นไปจนถึง ผู้สูงอายุ คุณค่าทางโภชนาการของปลาที่สำคัญ ได้แก่ โปรตีน ไขมัน วิตามิน และแร่ธาตุ

คุณค่าทางด้านโปรตีน ปลาเป็นแหล่งอาหาร ที่ให้สารโปรตีนที่มีคุณภาพดี กองโภชนาการ กรมอนามัย ได้ทำการวิเคราะห์หาปริมาณและคุณภาพ ของโปรตีนและไขมันในปลาชนิดต่างๆ พบว่า ปลาทู เมื่อเปรียบเทียบ กับปลาอื่นๆ มีกรดอะมิโนที่จำเป็น ต่อร่างกายเทียบกับเนื้อสัตว์ชนิดอื่นๆ ด้วย ปลาทูจะมีสูงกว่าแทบทั้งสิ้น และพบว่าในปลา 20 ชนิด ที่คนทั่วไปนิยมบริโภค มีปริมาณโปรตีนอยู่ระหว่างร้อยละ 14.4-23.0 กรัม โปรตีนในเนื้อปลาจะเป็นโปรตีน ที่ย่อยง่าย เหมาะสมต่อการเจริญเติบโตของทารก เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียน ผู้สูงอายุ และผู้ป่วยที่ระบบการย่อยอาหาร ทำงานได้ไม่เต็มที่ เนื้อปลาโดยลักษณะตามธรรมชาติมี เนื้อเยื่อเกี่ยวพันน้อยกว่าเนื้อสัตว์ชนิดอื่น เมื่อเนื้อปลาสุกจะแยกออกเป็นชิ้นๆ ตามมัดของกล้ามเนื้อเกี่ยวพัน เนื้อปลา จึงนุ่ม ไม่เหนียวและหดตัวมากเหมือนเนื้อสัตว์อื่นๆ

คุณค่าทางด้านไขมัน นอกจากคุณค่าทางด้านโปรตีนแล้ว ปลายังมีคุณค่าทางด้านไขมัน เนื้อปลาประกอบด้วย ไขมันที่จำเป็นต่อร่างกาย โดยเฉพาะกรดไลโนเลอิค ที่ทำหน้าที่ควบคุมระดับของโคเลสเตอรอล และไตรกลีเซอไรด์ในกระแสเลือด และการช่วยเร่งการเผาผลาญโคเลสเตอรอลนี้ ทำให้ระดับโคเลสเตอรอลในเลือดลดลง จึงมีส่วนลดอัตราการตายของโรคหัวใจด้วย นอกจากนี้ยังประกอบด้วยกรดไขมันที่ไม่อิ่มตัว ที่มีความสำคัญต่อร่างกาย 2 ชนิด ได้แก่ กรดอีโดซาเปนทีโนอิด หรือ อี พี เอ ที่เป็นส่วนประกอบของเซลล์สมอง ปลา จึงเป็นอาหารที่มีคุณค่า ต่อสมองอย่างยิ่ง ไขมันที่มีอยู่ในเนื้อปลาเป็นสาร ที่ร่างกายไม่สามารถสร้างเองได้ แต่จะได้จากการกินเนื้อปลา

คุณค่าทางด้านวิตามินและแร่ธาตุ เนื้อปลา นอกจากจะให้คุณค่า ด้านโปรตีนและไขมันแล้ว ยังให้วิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ อีก ซึ่งคุณค่าด้านวิตามินและแร่ธาตุอื่นๆ อีก ซึ่งคุณค่าด้านวิตามิน นั้น เนื้อปลา ประกอบด้วยวิตามินบีหนึ่ง บีสอง และไนอะซิน ที่มีความจำเป็น ต่อการใช้ประโยชน์ของคาร์บอนโบไฮเดรต ไขมันและโปรตีน ทำให้ร่างกายมีประสิทธิภาพ ในการประกอบการงานและการเรียนรู้

คุณค่าทางด้านแร่ธาตุ ปลาประกอบด้วยธาตุแคลเซียม และฟอสฟอรัสในสัดส่วนที่พอดี ต่อการสร้างกระดูกและฟัน มีธาตุเหล็กช่วยในการสร้างเม็ดโลหิต ป้องกันโรคโลหิตจาง ส่วนปลาทะเลมีธาตุไอโอดีน ซึ่งช่วย ป้องกันโรคคอพอก ปลานอกจากจะให้คุณค่า ทางโภชนาการต่อร่างกายแล้ว จะต้องเป็นปลาที่ผ่านการประกอบอาหาร ให้สุกด้วยความร้อน การกิน ปลาดิบ จะให้โทษต่อร่างกาย เนื่องจากปลาดิบมีพยาธิตัวจี๊ดจะไช ไปตามกล้ามเนื้อ ผิวหนังและอวัยวะต่างๆ ทั่วร่างกาย

ในขณะที่โลกกำลังเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว อาหารต่างๆ ราคาสูงขึ้น แต่ปลาก็ยังนับว่าเป็นแหล่งอาหาร ที่ราคาถูกกว่าอาหารอื่นๆ ที่มีคุณค่าทัดเทียมกัน เพราะคุณค่าสารอาหารโปรตีนในปลา มีทั้งคุณภาพ และปริมาณที่ดีและเหมาะสม มีส่วนนำไปเสริมสร้างร่างกายให้เจริญเติบโต และซ่อมแซมเนื้อเยื่อ ซึ่งเสื่อมสลายให้อยู่ในสภาพปกติ ทั้งยังเป็นส่วนประกอบของสาร สร้างภูมิคุ้มกันโรคและให้พลังงานแก่ร่างกาย ทั้งยัง เป็นส่วนประกอบของสารสร้างภูมิคุ้มกันโรค และให้พลังงานแก่ร่างกาย การกินปลาเป็นอาหารประจำแทนเนื้อสัตว์ จะมีส่วนช่วยลดปริมาณไขมันในเลือด ส่วนในเด็กทารก เด็กวัยก่อนเรียนและเด็กวัยเรียน ได้บริโภคปลาเป็นประจำ จะมีผลอันนำไปสู่การมีพลานามัย ที่สมบูรณ์และแข็งแรง และที่สำคัญต้องช่วยกันอนุรักษ์ด้วย โดยการไม่จับปลาในฤดูวางไข่หรือจับปลาเล็กๆ มากิน เพื่อเราจะได้มีปลาให้ลูกหลานได้


ผัก รักษาโรค

ปัจจัยสำคัญในการดำรงชีวิตอย่างหนึ่ง คือ อาหารในแต่ละวันร่างกาย ต้องการอาหารครบ 5 หมู่ อาหารแต่ละชนิด ให้คุณค่าแตกต่างกันไป อาหารพวก "ผัก" ไม่เพียงแต่รับประทานแล้วอร่อยและอิ่มท้องเท่านั้น แต่ยังมีคุณค่าทางยาแอบแฝงอยู่อีกด้วย
ในผักมีอะไร
ผัก เป็นอาหารที่มีคุณค่ามากชนิดหนึ่ง เพราะมีสารอาหารที่ร่างกายต้องการ เช่น เกลือแร่ วิตามิน อยู่เป็นจำนวนมาก สารบางอย่างจะมีเฉพาะในผักเท่านั้น สิ่งสำคัญ ที่พบมากในผักทุกชนิดคือ ใยพืช (Fiber) ซึ่งเป็นส่วนที่ย่อยไม่ได้ และไม่ให้พลังงาน นอกจากมีมากในผักแล้ว ยังพบได้ในถั่วต่างๆ เช่น ถั่วฝักยาว ถั่วลันเตา ข้าวซ้อมมือ ข้าวแดง เป็นต้น
ใยพืชมีประโยชน์อย่างไร

1.ให้พลังงานน้อย
2.ลดอัตราการดูดซึมของน้ำตาล ทำให้ระดับน้ำตาลภายหลังอาหารลดลง
3.ช่วยลดการดูดซึมไขมัน
4.กระตุ้นลำไส้ให้ทำงานดีขึ้น ทำให้ท้องไม่ผูก ป้องกันโรคริดสีดวงทวาร โรคมะเร็งลำไส้ เป็นต้น
มากินผักกันเถอะ
การรับประทานผักจำนวนมากๆ หลายชนิดเป็นประจำ นอกจากทำให้ร่างกายแข็งแรง และเจริญเติบโตแล้ว ยังสามารถป้องกันโรคบางชนิดได้ ดังตัวอย่างต่อไปนี้

เห็ดหอม



เป็นเห็ดมีขายกันในรูปเห็ดตากแห้ง เห็ดหอมมีรสหวาน มีกลิ่นหอม สารเคมีที่พบมีเส้นใย ไขมัน คาร์โบไฮเดรต แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กและวิตามินบี มีการทดลองพบว่า เห็ดหอมมีฤทธิ์ลดโคเลสเตอรอลในเลือด ถ้ารับประทานเห็ดหอม เป็นยาบำรุงกำลังช่วยย่อย ลดอาการเบื่ออาหาร

งา
มีกลิ่นหอม มีน้ำมันมาก มีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด วิตามินบี 1, บี 2, วิตามินอี และเกลือแร่หลายชนิด สรรพคุณบำรุงกำลัง แก้ท้องผูก ผมหงอกก่อนวัย ลดโคเลสเตอรอลในเลือด และเสริมภูมิต้านทานโรค ถ้ารับประทานเป็นประจำ ข้อระวังผู้มีท้องร่วงเรื้อรัง ไม่ควรรับประทาน

ถั่ว
ได้แก่ ถั่วลันเตา ถั่วแขก มีสารอาหารที่สำคัญคือ โปรตีน ไขมัน และเกลือแร่หลายชนิด มีคุณค่าอาหารครบถ้วน มีสรรพคุณบำรุงร่างกาย ขับปัสสาวะ ลดอาการบวมน้ำได้
ขี้เหล็ก
ใช้ใบรับประทาน ใบขี้เหล็กมีวิตามินเอ วิตามินซี เส้นใย แคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็ก วิตามินบี 1 และไนอาซิน สรรพคุณทางยาของใบขี้เหล็ก มีสารชนิดหนึ่งออกฤทธิ์ต่อประสาท ทำให้นอนหลับดี แก้ท้องผูกได้ดี และบำรุงร่างกาย
ตำลึง
เป็นไม้เถา ใช้ใบรับประทาน เป็นพืชมีคุณค่าสูงทั้งวิตามินเอ แคลเซียมช่วยบำรุงกระดูก ยังมีโปรตีน ไขมัน คาร์โบไฮเดรด ฟอสฟอรัส เหล็ก เหมาะเป็นอาหารบำรุง นอกจากนี้ ตำลึงยังมีคุณสมบัติแก้แพ้ได้ดี โดยนำใบมาพอกบริเวณโดนสัตว์กัดต่อย
มะระ
เป็นผักจำพวกแตง มีรสขม เป็นยาดับร้อน ถอนพิษไข้ แก้กระหาย มีการทดลองกินมะระ ลดน้ำตาลในเลือดได้ (ส่วนเม็ดมะระจีนแก่จัด ตากแห้งแกะเปลือกนอกออก นำมาบดให้ละเอียด ละลายน้ำร้อนกินวันละครั้งก่อนนอน จะแก้อาการอ่อนเพลีย เบื่ออาหาร และกระตุ้นความรู้สึกทางเพศได้)

ผักกาด
ผักกาดมี 3 ชนิด ผักกาดขาว ผักกาดเขียว และผักกาดหอม ต่างมีสารอาหารเกลือแร่วิตามินครบบริบูรณ์ และมีเส้นใยอยู่จำนวนมาก การรับประทานเป็นประจำจะป้องกันอาการท้องผูก ลดการเป็นมะเร็งลำไส้ ส่วนผักกาดหอม สามารถป้องกันโรคความดันโลหิตสูง เพิ่มความยืดหยุ่นของหลอดเลือด และวิตามินซีที่มีอยู่ในผัก จะสร้างเสริมภูมิต้านทานโรค

มะเขือยาว
มะเขือมีอยู่ 3 ชนิด เปลือกสีเขียว สีม่วง และสีขาว พบว่าเปลือกสีม่วงและสีขาวมีคุณภาพดีกว่าสีเขียว ในมะเขือมีวิตามินบี 1 จำนวนมาก ซึ่งช่วยเสริมการทำงานของสมอง ช่วยความจำ ลดอาการอ่อนเปลี้ยของสมอง ในมะเขือยาวนี้ มีโปรตีน แคลเซียม และวิตามินมากกว่ามะเขือเทศ การรับประทานเป็นประจำ จะช่วยให้เส้นเลือดไม่เปราะ ป้องกันโรคความดันโลหิตสูง และโรคลักปิดลักเปิด

ปวยเล้ง
เป็นผักที่มีสีเขียวเข้มมีเส้นใย เกลือแร่ วิตามินซีจำนวนมาก และยังพบว่า มีกรดออกซาลิกอยู่มากเช่นกัน ซึ่งกรดนี้ถ้ารวมตัวกับแคลเซียม จะทำให้เกิดนิ่วได้ ก่อนบริโภค ควรลวกผักปวยเล้งให้สุกก่อนแล้วเทน้ำทิ้งไป จึงนำผักมาปรุงอาหารได้ ทำเช่นนี้กำจัดกรดออกซาลิกออกไป ปวยเล้ง ถ้ารับประทานเป็นประจำ จะยับยั้งการดำเนินของโรคความดันโลหิตสูง และโรคเบาหวานอีกด้วย
แค
รับประทานดอกมีชนิดสีแดงและสีขาว มีสรรพคุณลดไข้ ส่วนใบแครับประทานเป็นยาระบายได้
หัวปลี
เป็นส่วนดอกของต้นกล้วย ใบหัวปลีมีธาตุเหล็ก จึงบำรุงเลือด แก้โลหิตจาง และยังคงลดน้ำตาลในเลือด และแก้โรคเกี่ยวกับลำไส้ การนำมาปรุงอาหารได้แก่ ยำหัวปลี หรือรับประทานสดก็ได้

เกร็ดเล็กน้อยในการปรุงอาหารผักให้ได้คุณค่า

1.การหั่นผักแล้วล้าง น้ำจะทำให้วิตามินซีในผักสูญเสียไป เพราะวิตามินซีสลายตัวได้ง่ายในน้ำ ดังนั้น จะต้องล้างผักก่อนแล้วจึงหั่น และเมื่อหั่นเสร็จแล้ว ควรปรุงทันที
2.หลังปรุงแล้วควรรับประทานทันที เพราะการทำทิ้งไว้นานๆ หลังปรุง จะทำให้สิ่งมีคุณค่าทางอาหารสูญเสียไปได้
3.วิธีการหุงต้มผักทุกชนิด ล้วนมีผลต่อการสูญเสียวิตามินซี เนื่องจากวิตามินซีละลายน้ำได้ ดังนั้น การรับประทานผักต้ม จะต้องรับประทานน้ำแกงด้วย การต้มควรจะต้มในน้ำน้อยๆ และใช้เวลาสั้นๆ
4.การปรุงอาหารจำพวกผัก ถ้าเติมน้ำส้มสายชูลงไปเล็กน้อย จะช่วยเพิ่มรสชาติอาหาร และรักษาวิตามินซีไว้ด้วย
5.เครื่องครัวที่ใช้ผัดหรือต้มผัก ควรเป็นพวกเหล็ก เพราะจะทำให้วิตามินสูญเสียน้อยก










วันพฤหัสบดีที่ 7 สิงหาคม พ.ศ. 2551

การเลือกอาหาร

อาหารเป็นพิษ เป็นปัญหาที่เกิดขึ้นทุกประเทศ แม้ประเทศที่มีความเจริญสูงและมีการควบ คุมเข้มงวดอย่างสหรัฐอเมริกา สาเหตุหลักมักเกิดจากการขาดความระมัดระวังของผู้บริโภคเอง โดยเฉพาะในเรื่องสุขอนามัย การป้องกันอาหารเป็นพิษไม่ใช่เรื่องยุ่งยาก ทุกคนสามารถปฏิบัติได้ต่อไปนี้ เป็นข้อแนะนำที่จะช่วยให้เราปลอดภัยจากการเจ็บป่วยอันเนื่องมาจากอาหารได้






1. ข้อควรระวังของผู้ซื้อ
1.1 การเลือกซื้อสินค้าที่ร้านค้า

χ ตรวจสอบหีบห่อที่บรรจุอย่างถ้วนถี่ สังเกตว่าภาชนะอยู่ในสภาพปกติหรือไม่วัสดุที่ใช้รัดหรือหุ้มหลุดหายไปหรือเปล่า ทางที่ดีควรเปรียบเทียบภาชนะที่น่าสงสัยกับภาชนะอื่นบนชั้นวาง
χ ตรวจสอบตัวป้องกันการเปิดภาชนะ สังเกตว่าพลาสติกห่อหุ้มภาชนะอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์หรือไม่
χ อย่าซื้อสินค้าที่หีบห่อเปิดอยู่ หรือมีรอยฉีกขาด เสียหาย ทั้งสินค้าบนชั้นวางในตู้เย็น หรือตู้แช่แข็งของทางร้าน
χ อย่าซื้อสินค้าที่เสียหายหรือผิดปกติ เช่น อาหารกระป๋องที่มีรอยรั่ว หรือฝากระป๋องบวม หรืออาหารแช่แข็งที่มีการละลายและนำมาแช่แข็งใหม่
χ ตรวจดูวันที่ที่ควรบริโภคที่พิมพ์อยู่บนภาชนะ และเลือกซื้อภายในระยะเวลาที่กำหนด

1.2 การตรวจสอบอาหารที่บ้าน

χ เมื่อเปิดภาชนะให้ตรวจสอบสินค้าอย่างถ้วนถี่ อย่าบริโภคอาหารที่มีสีผิดเพี้ยนจากเดิม ขึ้นรา มีกลิ่นเหม็น หรือที่มีน้ำหรือฟองออกมาเวลาเปิดกระป๋อง
χ ไม่ควรบริโภคอาหารที่ภาชนะมีความเสียหายหรือมีสภาพไม่สมบูรณ์ เช่นกระป๋องรั่วหรือฝากระป๋องบวม

2. การประกอบอาหารที่บ้านสามารถทำได้ตามขั้นตอนง่าย ๆ ดังนี้
2.1 ความสะอาด ล้างมือและภาชนะเครื่องใช้ให้สะอาด
ล้างมือ ภาชนะเครื่องใช้ และเขียงด้วยสบู่และน้ำร้อนทั้งก่อนและหลังการประกอบอาหาร โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากการประกอบอาหารประเภทเนื้อสัตว์ไก่ ไข่ หรืออาหารทะเล
χ คุณรู้หรือไม่? : ร้อยละ 20 ของผู้บริโภคไม่ล้างมือและพื้นที่บริเวณห้องครัวก่อน การประกอบอาหาร การล้างมือและการทำความสะอาดพื้นที่บริเวณห้องครัวเป็นขั้นตอนแรกของอาหารที่ปลอดภัย

2.2 การแยกอาหาร อย่าให้เกิดการปนเปื้อนจากอาหารดิบไปอาหารสุก (crosscontamination)

โดยเฉพาะจากอาหารดิบ ๆ เช่น เนื้อ เป็ดไก่ และอาหารทะเล ดังนั้น จึงควรเก็บอาหารเหล่านั้นไว้ให้ห่างจากอาหารที่จะรับประทาน

ใส่อาหารปรุงสุกแล้วในจานที่สะอาด ถ้าคุณใส่อาหารสุกในจานที่เคยใส่อาหารดิบโดยที่ยังไม่ได้ล้างจานนั้น แบคทีเรียจากอาหารดิบจะสามารถปนเปื้อนในอาหารสุกได้
X คุณรู้หรือไม่? : หลังจากหมักเนื้อ ไก่ และอาหารทะเลดิบ ส่วนผสมที่ใช้หมักนั้นอาจปนเปื้อนด้วยแบคทีเรียที่ร้ายแรง อย่าชิมหรือใช้น้ำหมักนั้นถ้าไม่ได้ทำให้สุกเสียก่อน

2.3 การประกอบอาหาร การประกอบอาหารด้วยอุณหภูมิที่เหมาะสม

ผู้เชี่ยวชาญด้านความปลอดภัยของอาหาร เห็นด้วยว่า อาหารจะสุกได้ที่และสามารถฆ่าเชื้อแบคทีเรียได้เมื่อใช้ความร้อนและระยะเวลาที่เหมาะสม
เพื่อให้แน่ใจว่าเนื้อ เป็ดไก่ และอาหารอย่างอื่นได้รับการปรุงสุกทั่ว ใช้เทอร์โมมิเตอร์ที่สะอาดวัดอุณหภูมิภายในอาหารที่ปรุงนั้น
χ คุณรู้หรือไม่? : การปิ้งหรือการย่างควรให้ความร้อนภายในอย่างน้อย 62.8 องศาฟาเซลเซียส สำหรับอกไก่ควรร้อน 76.7 องศาเซลเซียส และไก่ทั้งตัวควรร้อน 82.2 องศาเซลเซียส (วัดจากความร้อนที่น่องไก่)

2.4 การทำให้เย็น ใส่ตู้เย็นทันที
นำอาหารใส่ตู้เย็นอย่างรวดเร็วเพราะอากาศเย็นสามารถหยุดยั้งการเจริญเติบโตและการเพิ่มของแบคทีเรียได้ ดังนั้น ควรตั้งอุณหภูมิตู้เย็นไว้ไม่สูงกว่า 4 องศาเซลเซียส และตั้งอุณหภูมิห้องแช่แข็งไว้ที่ –18 องศาเซลเซียส นอกจากนี้ ควรตรวจสอบอุณหภูมิเป็นประจำโดยใช้เทอร์โมมิเตอร์
อาหารที่เสียง่าย อาหารที่ปรุงแล้ว และอาหารที่กินเหลือให้ใส่ตู้เย็นภายใน 2ชั่วโมง การหมักอาหาร เช่น ด้วยน้ำมัน เครื่องเทศ ควรหมักไว้ในตู้เย็น
อย่าละลายอาหารแช่แข็งที่อุณหภูมิห้อง ซึ่งการละลายอาหารแช่แข็งที่ปลอดภัยสามารถทำได้โดย

1) ใส่ในตู้เย็นในช่องปกติ
2) แช่ไว้ในน้ำเย็น (ควรเปลี่ยนน้ำทุกครึ่งชั่วโมงเพื่อรักษาระดับความเย็นไว้ให้คงที่)
3) ใช้เตาอบไมโครเวฟ ถ้าต้องการประกอบอาหารทันที

χ คุณรู้หรือไม่? : ร้อยละ 23 ของตู้เย็นของผู้บริโภคมีความเย็นไม่เพียงพอ




*********************************************